2552-11-18

บัตรประจําตัวแพทย์อัจฉริยะ MD CARD

เผยโฉมบัตรประจําตัวแพทย์อัจฉริยะ MD CARD
แพทยสภาพัฒนาระบบไอที ขจัดปัญหาแพทย์ปลอม
สร้างระบบ Doctor Life Database ติดตาม ชีวิตแพทย์ไทย

เนื่องจากในปัจจุบันสถานพยาบาลหลายแห่งมีความจำเป็นต้องรับแพทย์เวร นอกเหนือจากแพทย์ประจำที่ทำงานตามปกติ โดยการลงรับสมัครงานในที่ต่างๆ ที่ผ่านมาขบวนการตรวจสอบว่าผู้สมัครเป็นแพทย์จริงหรือไม่นั้น ยังมีช่องว่างจนเป็นเหตุให้ผู้ซึ่งมิใช่แพทย์สามารถแฝงตัวเข้ามาทำงานเป็นแพทย์ได้ จนกลายเป็นข่าวดังในหน้าหนังสือพิมพ์ซึ่งพาดหัวข่าวอย่างฟันธงไว้ว่า "หมอปลอม"เกลื่อนโรงพยาบาลเอกชน1 ประเด็นนี้ส่งผลให้แพทยสภาได้กำหนดนโยบายเชิงรุกโดยพยายามตรวจสอบอย่างเต็มที่ และล่าสุดคณะกรรมการแพทยสภาได้ออกข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยบัตรประจำตัวผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งเรียกย่อๆว่า MD CARD โดยหนึ่งในวัตถุประสงค์สำคัญของการเชิญชวนแพทย์ทั้งประเทศมาทำบัตรนี้ ก็คือใช้เพื่อเป็นหลักฐานทางราชการและใช้ในการตรวจสอบแพทย์ปลอมในอนาคต

น.อ.(พิเศษ) นพ.อิทธพร คณะเจริญ รองเลขาธิการแพทยสภา ผู้ริเริ่มโครงการนี้กล่าวถึงที่มาของการจัดทำบัตรประจำตัว ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม (อิเล็กทรอนิกส์) หรือ Medical Doctor identification Card ซึ่งเรียกย่อ ๆ ว่า MD CARD ว่า
“ข้อแรกจากภารกิจหลักของแพทยสภาคือการคุ้มครองประชาชนให้ได้รับการบริการที่ดีที่สุดจากแพทย์ ยุทธศาสตร์ของเราก็คือจะทำอย่างไรให้เขาได้รับการรักษาโดยแพทย์มาตรฐานจริงๆ ที่ผ่านการรับรองโดยแพทยสภา นั่นก็คือเราต้องขจัดแพทย์ปลอมออกจากระบบให้ได้ ด้วยการสร้างมาตรฐาน แยกแยะระหว่างแพทย์จริงและแพทย์ปลอม”

แพทยสภามุ่งจัดระบบเทคโนโลยีในการติดตามแพทย์ในประเทศไทย
“โจทย์ข้อต่อมาก็คือ แพทยสภาจะแก้ปัญหาระบบแพทย์ทั้งประเทศได้ ต้องใช้ข้อมูล ข้อเท็จจริงเราจะทำอย่างไรจึงจะติดตามแพทย์ทั่วประเทศได้ว่าขณะนี้เขาปฏิบัติงานอะไรอยู่ที่ใด ทางออกอยู่ที่ เราต้องมีการจัดระบบเทคโนโลยีในการติดตามแพทย์ในประเทศไทยให้ได้ และสามารถปรับปรุงฐานข้อมูลให้เป็นจริงได้ตลอดเวลา เพราะพบว่าปัจจุบันมีแพทย์อยู่กว่า 37,000 คน กระจายอยู่ในภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งหมด 19 สังกัด 5 กระทรวง โดยมีแพทย์เพียง 1ใน 3 เท่านั้นที่อยู่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โดยกระจายปฏิบัติงานอยู่ในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขมากกว่า 820 แห่ง ส่วนอีก 2 ใน 3 อยู่ภายนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เช่น กระทรวงศึกษาธิการ โดยอยู่ในคณะแพทยศาสตร์ 18 แห่ง ในภาพของอาจารย์ประมาณกว่า 4,000คนและแพทย์ประจำบ้านหรือนักเรียนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 4,000 คน นอกจากนั้นยังมีแพทย์ที่กระจายอยู่ในภาคโรงพยาบาลเอกชนอีกมากกว่า 300 แห่ง ซึ่งการที่แพทย์กระจายอยู่ตามสังกัดต่าง ๆ ทำให้การควบคุมดูแลเป็นไปได้ไม่ง่ายนัก เพราะในแต่ละส่วนก็ย่อมมีสังกัดของตนเอง และมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ซึ่งในการจะติดตามความเคลื่อนไหว ก็ต้องมีการจัดการฐานข้อมูลใหม่ในระดับประเทศ ซึ่งภารกิจนี้ก็นำมาสู่การแก้ปัญหาโดยพัฒนาระบบฐานข้อมูลใหม่ขึ้นมา เพื่อให้แพทย์ทั้งหมดอยู่ในระบบ ที่สามารถติดตามได้ว่าเขาทำอะไร ปฏิบัติงานอยู่ที่ไหน สถานภาพเป็นอย่างไร เป็นแพทย์ทั่วไป หรือเรียนจบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้ว กี่สาขา ตลอดจนติดตามการกระจายในระบบประเทศในระบบ GIS นำไปสู่การศึกษาหน้าที่จำนวนภาระงาน ตลอดจนปัญหาคุณภาพชีวิตของตัวแพทย์ ความยั่งยืนในการทำงานในชนบทตามความต้องการของประชาชน เพื่อสร้างประสิทธิภาพสูงสุดในการจัดการทรัพยากรบุคคลากรแพทย์ สุดท้ายส่งผลไปสู่ประโยชน์สูงสุดในให้บริการประชาชน ที่เป็นหัวใจหลักของแพทยสภา”



วัตถุประสงค์ในการจัดทำบัตรประจำตัว
ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือ MD CARD

1. เพื่อใช้เป็นหลักฐานทางราชการเป็นบัตรประจำตัวของแพทย์ทุกคน ที่แสดงตนทั้งในและต่างประเทศ โดยมีทั้ง ชื่อภาษาไทยและอังกฤษ สอดคล้องกับพาสปอร์ท และเชื่อมโยงกับบัตรประชาชนในอนาคต
2 . เพื่อใช้ติดต่อทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ใช้ในการใช้บริการในระบบของแพทยสภา เช่น เก็บคะแนน CME สมัครเรียน สมัครสอบ บริการด้านกฎหมาย และจริยธรรม จะขยายไปยัง 18 คณะแพทยศาสตร์ และ 14 ราชวิทยาลัย-วิทยาลัยแพทย์ ในอนาคต
3. เพื่อใช้แสดงความเป็นแพทย์ ในการ สมัครงาน หรือใช้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ กับหน่วยราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น กองการประกอบโรคศิลป์ , สนง.คณะกรรมการอาหารและยา, สาธารณสุขจังหวัด เป็นต้น
4. เพื่อใช้ในการตรวจสอบแยกแพทย์ปลอมกับแพทย์จริงของหน่วยงานอื่นๆเช่นตำรวจ หรือ สื่อมวลชน
5. เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงฐานข้อมูลที่ติดต่อกันระหว่างแพทย์ และแพทยสภา ในระบบ Electronic TMC และ Doctor Data Base ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาเชื่อมระบบ GIS ในระบบ online ไปประมวลผลข้อมูลทรัพยากรแพทย์ ระดับประเทศ ติดตามแก้ปัญหาแพทย์ได้รวดเร็ว ใกล้ชิดและแม่นยำขึ้น
6. ใช้เป็น Digital Identification หลักของแพทย์ในระบบความปลอดภัยอนาคตของโรงพยาบาลต่างๆ ตลอดจนเข้าสู่ฐานข้อมูลคนไข้ เช่นในระบบ CDI, HL7 ระหว่าง สถานพยาบาล ในระบบกฎหมายใหม่ เพื่อความปลอดภัยของแพทย์เอง และป้องกันแพทย์ปลอมหรือบุคคลอื่นเข้าถึงฐานข้อมูลหรือสั่งการรักษาผู้ป่วย



ล้างจุดอ่อนของระบบที่แพทย์ไม่มีบัตร แสดงความเป็นแพทย์อย่างเป็นทางการ
นพ.อิทธพร กล่าวต่อไปว่า “ เราจะพัฒนาระบบจูงใจเพื่อให้แพทย์เข้ามาลงทะเบียนปรับปรุงข้อมูลที่แพทยสภา ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วจะพบว่าจุดอ่อนของระบบเดิมคือในช่วง 40 ปี ที่ผ่านมา ในระบบราชการ แพทย์ไม่มีบัตรกลางอื่นๆที่จะแสดงความเป็นประชากรแพทย์อย่างเป็นทางการเลย ยกเว้น บัตรของหน่วยงานของตนเองที่มีมาตรฐานแตกต่างกันไป และ ใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม ซึ่งใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมของแพทย์หลายท่านก็ออกมาแล้วหลายปี และมีโอกาสที่จะผิดพลาดในการพิสูจน์กันเองได้ ดังนั้นเราจึงได้นำระบบบัตรดิจิทัลมาศึกษา และสรุปได้ว่าเราควรจะทำบัตรประจำตัวแพทย์ขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า Medical Doctor CARD ให้มีช่วงอายุระยะเวลาหนึ่ง และมีการต่ออายุได้ เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของแพทย์ เช่นเดียวกับหลักสากลของการทำบัตรประจำตัวประชาชนหรือใบขับขี่ โดยบัตรนี้จะบรรจุข้อมูลเบื้องต้นที่จำเป็นของแพทย์ทั้งหมด”
รองเลขาธิการแพทยสภา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า โครงการจัดทำบัตรประจำตัว ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม (อิเล็กทรอนิกส์) หรือ MD CARDนี้ แพทยสภาได้วางแผนการดำเนินงานไว้เมื่อ2 ปีที่ผ่านมา แต่เนื่องจากการกำหนดคุณสมบัติความปลอดภัยใหม่ของบัตร ทำให้บัตรตามแบบเดิมที่เคยใช้ประกาศมาตรฐานไว้ไม่สามารถใช้ได้ จึงต้องทำการยกเลิกบัตรต้นแบบเดิม และกำหนดมาตรฐานใหม่ ที่สอดคล้องกับการพิมพ์ระบบอิเล็คทรอนิคส์ และการใช้งานฐานข้อมูลอัจฉริยะ โดยต้องปรับตามคุณสมบัติต่าง ๆ ทั้ง Micro chip, IPI , Ultraviolet และระบบต่างๆ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งบัตรนี้มุ่งเน้นให้เป็นบัตรหลักที่ต้องรองรับด้วยกฎหมายด้วย จึงต้องออกเป็น “ข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยบัตรประจำตัวผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. ๒๕๕๑” และได้ลงประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา เล่ม๑๒๕ ตอนพิเศษ ๑๙๒ ง วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๑ หน้า๙๙ เรียบร้อยแล้ว
“เรื่องนี้เราได้วางแผนไว้เมื่อสองปีที่แล้ววิเคราะห์ ปรับปรุงหลายสิบขั้นตอนจนสำเร็จ และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากประกาศแล้ว ก็ถือว่าบัตรนี้เป็นบัตรประจำตัวทางราชการยอมรับบัตรหนึ่ง และเราก็ได้เข้าสู่ระยะการดำเนินการทันที โดยเริ่มจากการหาผู้สนับสนุนเทคโนโลยีขั้นสูง และอุปกรณ์ต่างๆ เพราะงบประมาณแพทยสภามีน้อยและจำกัด ในที่สุดแพทยสภาก็ได้รับบริจาคงบประมาณ กว่า 2 ล้านบาท จากหลายแหล่งในการวางระบบ เราค่อย ๆ พัฒนาทั้งระบบบัตร ฐานข้อมูล และพัฒนาเทคนิก และฝึกบุคคลากร ขณะเดียวกันก็ต้องทำการศึกษา วิเคราะห์แบบเดือนต่อเดือนว่าบัตรที่ออกมารุ่นแรกๆ ในช่วงทดลอง ตั้งแต่เดือนเมษายน2552 –ตุลาคม2552 จำนวน 2,300 ใบ มีปัญหาอย่างไร และปรับปรุงแก้ไขกว่า 6 ครั้ง จากข้อดี- ข้อด้อย- ข้อจำกัด ซึ่งพบว่ามีปัญหาจุกจิกมากในการเริ่มต้นครั้งแรกๆ ทั้งระบบเทคโนโลยี การดำเนินการ ความแม่นยำถูกต้อง ที่ใช้เวลามาก ในการปรับปรุง และแทบจะต้องรื้อระบบกว่าจะลงตัวแทบทั้งหมด จากวันแรก..จนขณะนี้คิดว่าพร้อมที่จะออกกระจายสู่วงกว้างอย่างเป็นทางการจึงได้เริ่มดำเนินการออกหน่วยทำบัตร โดยเฉพาะในงานประชุมวิชาการของแพทย์ และในอนาคตแพทยสภาก็จะสัญจรไปทำให้ในจังหวัดต่างๆเข้าถึงแพทย์ เพื่อให้แพทย์ได้ไปดูแลประชาชนต่อไป แต่ในระหว่างนี้หากแพทย์ท่านใดต้องการที่จะมีบัตรในครอบครอง ก็สามารถมาที่ทำบัตรที่ได้ที่สำนักงานเลขาธิการแพทยสภา อาคาร 6 ชั้น 7 ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข โดยใช้ระยะเวลาไม่เกิน 5 นาที และสามารถรับบัตรกลับไปได้เลย โดยทางแพทยสภาได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมในการทำบัตรคงเก็บแต่เฉพาะค่าต้นทุนบัตรไมโครชิพ 200 บาทต่อใบเท่านั้น นอกจากนี้ ทางแพทยสภายังมีการออกให้บริการ MD CARD MOBILE SERVICE ให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ด้วย โดยการออกให้บริการแต่ละครั้งควรมีแพทย์ไม่ต่ำกว่า 200 คน หากหน่วยงานใดสนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-590-1886-8 กด 6” นพ.อิทธพร กล่าว

MD Card รูปแบบใหม่ทันสมัยและปลอดภัยจากการปลอมแปลงบัตร
ในด้านความปลอดภัยจากการปลอมแปลงบัตร รองเลขาธิการแพทยสภา ยืนยันว่าบัตรดังกล่าวมีความปลอดภัยมากที่สุดระดับหนึ่งในปัจจุบัน โดย
- Microchip ชนิด CPU Computer (Java Card) และฝังระบบลายนิ้วมือ ที่ไม่สามารถดึงออกมาได้ ด้วยระบบความปลอดภัยสูงสุด มีพื้นที่เก็บรูปขนาดเล็กและข้อมูลแพทย์ได้ สามารถลบทิ้งจากระบบได้หากบัตรหาย และมีการ online update ข้อมูลได้ มีการตรวจสอบอายุบัตรด้วยตนเอง แจ้งวันหมดอายุได้ และเทียบลายนิ้วมือได้ด้วยความแม่นยำใกล้เคียง 100% ในหลายมิติ (Multi-dimension) ด้วยความเร็วสูง โดยใช้เทคโนโลยีจากประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นบัตรประเภทเดียวกับบัตรประชาชนไทย ที่ใช้เก็บรหัส Finger Print Biometric ฝังใน Microchip ที่ทุกชิ้นมีรหัส ตรวจสอบได้
- หน้าบัตรพิมพ์ลาย ที่ออกแบบลายเส้นความปลอดภัย โดยบริษัท JULA SECURITY PRINTING ประเทศออสเตรีย ผู้ออกแบบธนบัตรให้ธนาคารแห่งประเทศไทย, Passport, บัตรประจำตัวประชาชนไทย ไม่ใช้การพิมพ์ แบบ OFFSET ลวดลายพิเศษที่ใช้ไม่สามารถปลอมแปลงได้ หากใช้แว่นขยายดูจะเห็นเป็น
เส้นซ้อนกันจำนวนมาก ไม่เป็น แถบสีตามจุดสำคัญต่างๆ มี ART WORK PLATE 12 ชุด (พิมพ์ด้านหน้า 5 ชุด ด้านหลัง 7 ชุด) ต่อ 1 ใบ และมี Serial Number กำกับทุกใบ พิมพ์ด้วยหมึก UV มองเห็นภายใต้แสง UV เช่นเดียวกับสมุดฝากเงินธนาคาร
-การพิมพ์ภาพผู้ถือบัตร ใช้เครื่องพิมพ์เทคโนโลยีจากประเทศเยอรมันนี(Digital Identification Solutions) ด้วยระบบ Reverse Thermal Transfer ที่ระบุหมายเลขเครื่องพิมพ์ ลงบนบัตรด้วย ทำให้ทราบว่าบัตร นี้ พิมพ์จาก เครื่องใด ใช้ระบบรหัสที่มองไม่เห็น เรียกว่า IPI (Invisible Personal Information for identification) ทั้งภาพ และ Ultra Violet ในขั้นตอนเดียว โดยพิมพ์ในเวลาราว 2 นาที ต่อ 1 บัตร โดยจะพิมพ์กลับหลังบนฟิล์ม แล้วจึงปิดทับบนบัตรพลาสติกที่มีไมโครชิพ ดังนั้นจึงไม่มีการลอกของสีทางด้านหน้าตลอดอายุงาน โดยมี Security Check ที่สำคัญ คือ
· การพิมพ์รูปผู้ถือบัตรเป็นสี่สีในช่องปกติ และพิมพ์เงา รูปเป็น Ultra Violet ในตอนกลางของบัตร ด้วยเทคโนโลยีของการทำ Thai Passport สามารถตรวจสอบได้โดยใช้แสง Ultraviolet
· สามารถพิมพ์ รหัส IPI (Invisible Personal Information for identification) ด้วยระบบUltraviolet วางทับบนรูป จะปรากฏทั้งเลขที่ใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมและชื่อภาษาอังกฤษบนหน้าเจ้าของบัตร ซึ่งไม่สามารถพิมพ์ด้วยเครื่องธรรมดาได้ และหากลอกรูปไปติดก็ไม่สามารถทำได้ เพราะมองแยกได้ด้วย แสง Ultraviolet ที่ใช้ตรวจสอบ
· ข้อมูลความปลอดภัยใน Microchip เป็นระบบ Match On Card ด้วยการใช้รหัส Biometric จากการสนับสนุนของบริษัท Precise Biometrics USA ทั้งนี้มั่นใจได้ว่า ไม่มีการเก็บลายนิ้วมือใดๆในฐานข้อมูลเจ้าหน้าที่แพทยสภา เพราะลายนิ้วมืออยู่ในบัตรที่อยู่กับตัวแพทย์ ทั้งนี้แพทยสภาเคร่งครัดในเรื่องการรักษาความปลอดภัยของระบบฐานข้อมูลสมาชิกอย่างสูงสุด

ประโยชน์ของบัตร MD CARD

สำหรับประโยชน์ของบัตร MD CARD นพ.อิทธพร แสดงทัศนะว่า “ หลักเพื่อการคุ้มครองประชาชนและพัฒนาระบบข้อมูลวงการแพทย์ เริ่มจากการขจัดแพทย์ปลอม ในการรับสมัครแพทย์ของสถานพยาบาลต่าง ๆ บัตรนี้สามารถบอกได้ว่าคนที่จะไปสมัครเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานของตนเป็นแพทย์จริง ๆ หรือไม่ ส่วนแพทย์ก็ได้ประโยชน์จากการถือบัตรนี้มากด้วยเช่นกัน เพราะนอกจาก จะสามารถยืนยันความเป็นแพทย์ในการที่จะเข้าไปปฏิบัติงานต่างๆ แล้วยังสามารถใช้เป็นบัตรหลักฐานทางราชการ ตามที่ทางข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์ฯ การเรียกหลักประกันในการปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยใช้บุคคลเป็นประกัน ตามข้อ (๑๑)และ(๑๒) ที่ออกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๑๔ วรรคสอง (๓) สรุปว่าหากผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์ และการกระทำที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นความผิดเกิดจากประกอบวิชาชีพนั้น ให้ทำสัญญาประกันตนเองได้ในวงเงินไม่เกิน ๑๕ เท่าของอัตราเงินเดือนหรือรายได้เฉลี่ยต่อเดือน…ซึ่งก็เป็นหลักประกันให้เพื่อนแพทย์ที่พกบัตรนี้ได้อุ่นใจในระดับหนึ่ง
นอกจากนี้บัตรยังอำนวยความสะดวกให้กับแพทย์ ในต่างประเทศ โดยรหัสของบัตร MD CARD จะตรงกับรหัสบัตรประชาชน และมีชื่อภาษาอังกฤษให้ตรงกับพาสปอร์ต ดังนั้นหากแพทย์ไทยไปต่างประเทศ ก็สามารถยืนยันได้ว่าท่านเป็นแพทย์ที่มาจากประเทศไทย สามารถใช้สิทธิ์ต่างๆ ในความเป็นแพทย์ ในต่างประเทศหลายแห่งได้ เช่น การเข้าร่วมประชุมวิชาการแพทย์, การรักษาคนไข้บนเครื่องบิน การซื้อยาในร้านขายยาในบางประเทศ รวมถึงการแสดงตัวยามไปร่วมกิจกรรมกับแพทย์ในต่างประเทศ ซึ่งนับเป็นบัตรทางราชการใบแรกของประเทศไทยที่ทำได้เช่นนี้ โดยหน่วยงานต่างประเทศสามารถตรวจสอบข้อมูลกลับ online ได้ในอนาคต ”
ในด้านระบบต่าง ๆ ที่จะมารองรับบัตรอัจฉริยะใบนี้ นพ.อิทธพร กล่าวว่า “เนื่องจากตอนที่เราคิดจะทำ MD CARD เราได้มองต่อไปด้วยว่าระบบต้องง่าย แพร่หลายได้โดย เป็นสิ่งที่มีอยู่ของผู้ใช้เช่นโรงพยาบาลต่าง ๆ ไม่ควรจะต้องมีการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อรองรับการอ่านบัตรใบนี้ เราจึงใช้เครื่องอ่านที่เป็นระบบกลางของไมโครซอฟต์ ที่มีอยู่ทั่วไปตามท้องตลาด และเป็นเครื่องเดียวกับที่อ่านบัตรประชาชน และบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพราะฉะนั้นหากโรงพยาบาลใดมีอุปกรณ์นี้อยู่ เขาก็จะสามารถอ่านบัตร MD CARD ได้เลย ส่วนตัวโปรแกรมก็ทางแพทยสภาก็จะสนับสนุนให้โดยไม่คิดมูลค่า และในขั้นตอนต่อไปหลังจากได้ทำบัตรให้แพทย์ทั่วประเทศแล้ว ก็จะเพิ่มบริการของแพทยสภาด้วยการเชื่อมต่อระบบเข้ามาที่แพทยสภา เป็น One Stop Service โดยสามารถเลือกรายการบริการจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ในฐานข้อมูล ณ จุดที่เขาต้องการได้เลย รวมถึงอนาคตจะมีการเชื่อมต่อไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กองประกอบโรคศิลปะ เพื่อใช้ในการต่อทะเบียนคลินิกหรือซื้อยาอันตรายทั้งหลายได้ด้วย
ในอนาคตบัตรนี้จะเป็น Key ตัวแรกของการเข้าถึงระบบชั้นความลับต่างๆของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้านเวชระเบียนที่ถูกกฎหมาย ใช้เป็น Digital Identification หลักของแพทย์ในระบบ ความปลอดภัยของโรงพยาบาลต่างๆ ตลอดจนเข้าสู่ฐานข้อมูลคนไข้ เช่นในระบบ CDI(Cinical data interchange), Interoperation ระหว่าง สถานพยาบาล และ ระบบมาตรฐาน HL7 ของ Medical informatic ในระบบกฎหมายใหม่ เพื่อความปลอดภัยของแพทย์เอง และป้องกันผู้อื่นปลอมแปลงเป็นตัวท่าน และนำไปสู่การปรับปรุงฐานข้อมูลที่ติดต่อกันระหว่างแพทย์ และแพทยสภา ในระบบ Electronic TMC และ Doctor Data Base ที่พัฒนาเป็นระบบ GIS ในระบบ online ไปประมวลผลข้อมูลทรัพยากรแพทย์ ระดับประเทศ ติดตามแก้ปัญหาแพทย์ได้ใกล้ชิดขึ้นโดยขณะนี้อยู่ระหว่างหารือกับโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่งกับ รพ.เอกชนอีกแห่งหนึ่งในการทำระบบนำร่อง..
ท้ายสุดอนาคตเรายังมองการพัฒนาควบคู่ไปสู่บัตรสิทธิพิเศษของแพทย์ในสังคม เช่นในการสั่งซื้อสินค้าราคาพิเศษต่างๆ เครดิตเฉพาะแพทย์ ไปจนถึงส่วนลดในร้านอาหาร ร้านค้า บริการต่างๆ หรือในโอกาสพิเศษต่างๆในอนาคต ที่ร่วมกับทั้งร้านค้า สายการบิน สนามกอล์ฟ บริษัทยา ห้องสรรพสินค้า บริษัทประกัน และบัตรเครดิตต่างๆ เป็นต้น เพื่อสร้างความเป็นเอกสิทธิ์และสร้างคุณภาพชีวิตให้แพทย์ไทยต่อไป...”

ด้าน พ.อ.(พ.)นพ.กิฎาพล วัฒนกูล ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาต่อเนื่องของแพทย์ (ศ.น.พ.) ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า “เรื่อง MD CARD ของแพทย์ อาจารย์ได้ข้อมูลโดยตรงจาก อาจารย์อิทธพร คณะเจริญ ต้องเรียนว่าเป็นเรื่องที่ดีครับ โดยเฉพาะกับวงการแพทย์เอง เพราะเป็นการ identify ตัวเองได้ดีกว่าบัตรใดๆ คือในบัตรนี้ จะมีรูปตัวแพทย์เจ้าของบัตร ซึ่งต้องมาถ่ายเอง และวิธีทำบัตรจะคล้ายกับการทำ Passport มีการ scan ลายนิ้วมือ ที่สำคัญมี microchip ฝังอยู่แบบบัตรประชาชนรุ่นใหม่ ซึ่งจะมีข้อมูลแพทย์เจ้าของ มีเลข 13 หลักแต่ทั้งหมดนี้จะมีระบบ security และมี serial number ทุกใบ ฉะนั้นปลอมแปลงไม่ได้”
นอกจากนี้แล้ว ข้อมูลในบัตรจะช่วยในการไปติดต่อกับส่วนราชการอื่นๆในกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดได้สะดวก เนื่องจากเชื่อมต่อข้อมูลกับแพทยสภาและราชวิทยาลัยต่างๆได้ด้วย บัตรนี้จะรองรับระบบแพทยสภาในอนาคต เป็นฐานข้อมูล ทางการแพทย์ การกระจายตัวของแพทย์สาขาต่างๆ รวมทั้ง ศ.น.พ. ก็จะให้แพทย์ตรวจคะแนน CME ของตนเองผ่านบัตรใบนี้ได้ด้วย ในส่วนสิทธิพิเศษต่างๆก็จะมีการพิจารณากันต่อไป ซึ่งคาดว่าน่าจะจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

นพ. วิโรจน์ ตระการวิจิตร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนครธน หนึ่งในแพทย์ผู้ได้ทำบัตร MD CARD เรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวแสดงความคิดเห็นว่า ผมว่าเป็นเรื่องดี ประโยชน์ที่ได้ประการแรกคือการเก็บข้อมูลแพทย์ ผมว่าการทำทะเบียนแพทย์เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งทำให้แพทยสภามีข้อมูลว่ามีแพทย์อยู่จำนวนเท่าใด ตอนนี้ทำอะไรอยู่ บริเวณใดบ้าง อีกด้านหนึ่งคือการนำเอาข้อมูลไปใช้ เนื่องจากการเก็บข้อมูลนั้นมีการออนไลน์ในระบบฐานไอทีด้วย ซึ่งตรงนี้แพทยสภาสามารถนำก็สามารถนำเอาข้อมูลส่วนนี้ไปใช้ประโยชน์ต่อได้ อาทิ นำไปใช้ในการส่งข้อมูลข่าวสารให้กับสมาชิก ให้ความรู้ต่างๆ โดยการทำ Knowledge Transfer ซึ่งอาจจะส่งผ่านอีเมล์ หรือข้อความทางมือถือ เนื่องจากในบางครั้งแพทย์จะไม่ค่อยสะดวกในการใช้โทรศัพท์ รวมทั้งการให้ข้อมูลที่จำเป็น เช่น ข่าวสารการประชุม สัมมนา เมื่อมีข้อมูลของแพทย์ก็จะทำให้สื่อสารกับแพทย์ได้อย่างรวดเร็ว และทั่วถึงได้
นอกจากนี้ MD CARD ยังมีประโยชน์ในการป้องกันเรื่องแพทย์ปลอมอีกด้วย เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ทำการเปิดคลินิกรักษาคนไข้เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่พบบริเวณชานเมือง และต่างจังหวัด หากมีการให้ความรู้สิ่งเหล่านี้กับประชาชน เพื่อทำความเข้าใจ ซึ่งเมื่อประชาชนเกิดความไม่มั่นใจก็สามารถขอดูบัตรนี้ได้ หรือหากหน่วยงานภาครัฐต้องการตรวจสอบก็สามารถทำการตรวจสอบได้ง่าย ผมว่าเป็นเรื่องดี และประชาชนจะได้ไม่ถูกเอาเปรียบ
ทั้งนี้ นพ. วิโรจน์ ยังได้ฝากข้อเสนอแนะเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิของบัตร MD CARD ด้วยว่า “อยากให้เพิ่มสิทธิประโยชน์สำหรับแพทย์ผู้ถือบัตรนี้ โดยเชื่อมโยงกับหน่วยงาน ห้างร้าน ที่จะสามารถช่วยสนับสนุนงานของแพทย์ได้ อาทิ มอบสิทธิประโยชน์กับร้านหนังสือต่างๆ เนื่องจากแพทย์ส่วนใหญ่มักจะซื้อหนังสือ ตำราแพทย์ต่างๆเป็นประจำอยู่แล้ว โดยมอบสิทธิให้แพทย์ซื้อได้ในราคาพิเศษ ทั้งนี้ยังเป็นแรงจูงใจให้แพทย์มาทำบัตรนี้มากขึ้นด้วย แต่ทั้งนี้การให้สิทธิพิเศษต่างๆก็ควรมอบให้ตรงกับความต้องการของแพทย์ด้วย”

พร้อมเดินหน้าริเริ่มระบบ Doctor Life Database ของไทย

“สำหรับแพทยสภา บัตรนี้จะทำให้สามารถจัดทำฐานข้อมูลแพทย์ใหม่ได้ง่ายขึ้น ซึ่งขณะนี้เราทำการปรับปรุงฐานข้อมูลล่าสุด 2010 โดยการออกแบบฐานข้อมูลใหม่ของแพทยสภาในการติดตามโดยใช้ชื่อว่า Doctor Life Database หมายความว่าเราจะดูแลแพทย์ตลอดชีวิต ตั้งแต่วันที่เขาจบการศึกษา จนกระทั่งเกษียณ ตลอดอายุไข โดยจะติดตามดูแลคุณภาพชีวิต ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทำงาน ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ภาระงาน ตลอดจนสิ่งต่าง ๆ ที่เขาควรจะได้รับ ขณะเดียวกันเราก็จะทำการระบบจัดสรรทรัพยากรเหล่านี้ใหม่เหมาะสมกับประเทศไทยในอนาคต และแพทยสภายังได้วางแผนว่าต่อไปจะมีการขยายฐานข้อมูลไปยังนักเรียนแพทย์ด้วย คือเราไม่ได้ดูแต่ Doctor Life แต่เราอยากดู Medical Student Life ด้วย เพื่อที่จะดูว่าในอีก 6 ปี ข้างหน้าเราจะมีแพทย์จบออกมาเท่าใด คุณภาพเช่นใด และนำฐานข้อมูลนี้ไปใช้ในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแพทย์ และใช้พิจารณาว่าในประเทศไทยต้องการแพทย์สาขาใด จำนวนเท่าใด ซึ่งจะเกี่ยวโยงไปถึงการวางแผนที่นั่งเรียนในชั้นผู้เชี่ยวชาญต่อไป รวมถึงทิศทางการพัฒนาระบบแพทย์ไทยในเวทีโลกอนาคต และการติดตามมองปัญหา และส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตแพทย์ ให้ทำงานแบบมีความสุขภายใต้การดูแลของแพทยสภายุคใหม่ ท่ามกลางปัญหาสังคม กฎหมาย สื่อมวลชน ความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และสิทธิมนุษยชน โดยจัดระบบให้เหมาะสม เราเชื่อว่าเมื่อแพทย์ที่มีคุณภาพชีวิตดี มีความสุข ในระบบที่เหมาะสมพอเพียง ย่อมส่งผลไปสู่การรักษาพยาบาลที่ประสบความสำเร็จ และมีคุณภาพ โดยมอบความสุขให้แก่ผู้ป่วยในที่สุดเช่นกัน...ดังคำขวัญทีมบริหารแพทยสภายุคนี้ คือ แพทยสภายุคใหม่ ยกคุณภาพชีวิตแพทย์ไทย โปร่งใส ใส่ใจประชาชน...นี่เป็นเพียงหนึ่งในนับสิบโครงการหลักของแพทยสภาในปัจจุบัน ” นพ.อิทธพร รองเลขาธิการแพทยสภา กล่าวสรุป
-------------------------------------------------------------------------------------
อ้างอิง 1. หนังสือพิมพ์มติชน คอลัมน์ชีวิตคุณภาพ ฉบับวันที่ 04 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10707 หน้า 10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น