2552-07-30

โพสต์โมเดินร์(postmodern)

โพสโมเดิร์นเป็นปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนือ ความจริงแล้วรวมไปถึงทุกหนแห่งของโลกที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมตะวันตกผ่านทางการครอบโลกนั่นแหละ เป็นยุคที่การตลาดมีบทบาทสำคัญที่สุด ปรัชญาทางการตลาดครอบงำอยู่ทุกด้านของชีวิตไม่ว่าจะเป็นการค้า การสื่อสาร อุตสาหกรรม หรือแม้แต่การเมือง
ในมุมมองของผู้บริโภคแน่นอนว่าโพสโมเดิร์นหรือยุคหลังสมัยใหม่ ย่อมเป็นยุคที่ได้รับผลกระทบจากแบบแผนทางสังคมที่สัมพันธ์กับความทันสมัยที่ผ่านมาและกำลังเป็นอยู่ โดยความทันสมัยในที่นี้ หมายถึงขั้นตอนของการพัฒนาสังคมซึ่งมีฐานบนการพัฒนาอุตสาหกรรม มีการค้นพบและเกิดนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากมาย ซึ่งก็นำมาสนับสนุนการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม และการส่งเสริมการขายสินค้า
สังคมโพสโมเดิร์นจึงเรียกได้ว่าเป็นสังคมผู้บริโภค ปริมาณสินค้าที่ผลิตได้มีให้บริโภคมากกว่าความสามารถในการบริโภค เพราะฉะนั้นนักการตลาดจึงต้องต่อสู้สุดชีวิตเพื่อให้สินค้าของตนขายได้มากกว่าคนอื่น ด้วยการสร้างตลาดใหม่ กำหนดความหมายใหม่ ๆ ให้สินค้า ถ้าสังเกตให้ดีเราจะเห็นปรากฏการณ์บางอย่างเกิดขึ้นในตลาดโพสโมเดิร์น อันแรก เราจะพบว่าสิ่งที่ไม่น่าทำตลาดได้ถูกนำเข้ามาอยู่ในตลาดอย่างหน้าตาเฉย เป็นต้นว่าการสาธารณสุข ซึ่งรัฐเคยให้บริการในฐานะที่เป็นความจำเป็นพื้นฐาน และเมื่อก่อนนี้ไม่เคยมีใครคิดทำมาหากินกับคนเจ็บคนป่วย การศึกษา ซึ่งเคยเป็นบริการของรัฐที่ต้องการให้คนในประเทศรู้หนังสือ ครูเป็นที่เคารพนบไหว้ ไม่มีโรงเรียนกวดวิชา ถ้าเด็กไม่เอาไหนจริง ๆ ครูก็จะลากมาสอนพิเศษให้ ไม่คิดเงิน อาจารย์มหาวิทยาลัยตั้งหน้าตั้งตาสอนและทำวิจัยเพื่อประโยชน์ทางวิชาการ มหาวิทยาลัยยังไม่ออกนอกระบบมาทำมาหากินตัวเป็นเกลียวอย่างทุกวันนี้ศาสนา เคยเป็นที่พึ่งทางใจ ไปวัดไม่ต้องเสียสตางค์ นั่งคุยกับหลวงพ่อหลวงพี่ได้โดยไม่ต้องเอาอะไรติดมือไปถวาย ไม่ต้องเดินหนีหลวงพี่ที่เสนอขายพระจากกรุดังที่ท่านการันตีว่าเป็นของแท้ราคาเยาว์การดูแลผู้สูงอายุ ที่เมื่อก่อนนี้เป็นหน้าที่ของลูกหลานและชุมชน ไม่มีใครเอาพ่อแม่ปู่ย่าตายายไปจ้างคนแปลกหน้าดูแล ไม่กล้าคิดด้วยซ้ำ
แต่ตลาดยุคโพสโมเดิร์นทำให้โรงพยาบาลเอกชนงอกงามเป็นดอกเห็ด โรงเรียนกวดวิชาแพร่หลายเหมือนวัชพืช กว่าจะจบมหาวิทยาลัยได้ต้องเป็นหนี้รัฐก้อนโต ไปวัดต้องมีสตางค์ไปทำบุญถือถังสังฆทานสำเร็จรูปไปแก้เก้อ พ่อแม่แก่ตัวหรือเจ็บป่วยก็พาไปไว้ตามเนิร์สซิ่งโฮมทั้งหลาย และทั้งหมดนี้ก็เป็นตลาดที่มีมูลค่ามหาศาลเสียด้วย
ปรากฏการณ์ที่สองคือ การสร้างสุนทรีย์ในการบริโภค อันเป็นลักษณะที่แข็งที่สุดของสังคมโพสโมเดิร์นในยุโรป (ซึ่งก็แผ่อิทธิพลไปทั่วโลกอยู่ดี) การส่งเสริมการขายทำให้เรารู้สึกว่าเราทุกคนมีอิสระในการเลือกที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันอันแสนธรรมดาให้เป็นงานศิลป์ แต่เป็นศิลปะแบบ mass production ไม่ว่าจะเป็น ทรงผม เสื้อผ้า งานเขียน อาหารการกิน เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีการขายเอกลักษณ์หลากรูปแบบหลายลักษณะ เปล่า...ไม่ใช่ทำให้คุณมีเอกลักษณ์ของตัวคุณเองหรอก แต่เอาเอกลักษณ์ของคุณมาปู้ยี่ปู้ยำ เพราะเขาบอกให้คุณเป็นแบบที่คุณเป็นด้วยการใช้สินค้าของเขา ซึ่งในที่สุดคุณก็จะเป็นเหมือนกับผู้บริโภคคนอื่น ๆ อีกแสนเจ็ดที่ใช้สินค้าของเขาแล้วทำท่า "เป็นแบบที่คุณเป็น" เหมือน ๆ กับคนอื่น…แต่คิดว่าตัวเองต่าง
มีคำอยู่คำหนึ่งที่เขาใช้หลอกให้ผู้บริโภคเหลิงคือ consumer sovereignty หรือ ผู้บริโภคเป็นใหญ่ แต่ความจริงหมายความว่าผู้ผลิตจะคอยศึกษาดูวิธีใช้จ่ายของผู้บริโภคและผลิตสิ่งของที่ผู้บริโภคอยากได้ออกมาขาย และตลาดโพสต์โมเดิร์นก็ไปไกลกว่านี้มาก เขาไม่จำเป็นต้องรอดูว่าผู้บริโภคอยากได้อะไร เขาผลิตสินค้าของเขาแล้วให้นักโฆษณาทำให้เราอยากได้มัน ไม่ใช่เพราะประโยชน์ของมัน แต่เพราะความหมายใหม่ของมันที่นักโฆษณาสร้างขึ้น ว่ามันสามารถให้ชีวิตที่ดีแก่เราได้ ชีวิตที่ดียุคโพสโมเดิร์นไม่ได้หมายความแค่การมีวัตถุที่แสดงระดับชั้นทางสังคมที่คุณเห็นนักแสดงในทีวีเขามีกันเท่านั้น แต่ชีวิตที่ดีคือการที่คุณสามารถสร้างเอกลักษณ์ของคุณเองขึ้นมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เอกลักษณ์อันแตกต่างหลากหลายที่จะเกิดขึ้นเมื่อบริโภคสินค้าและบริการที่สัมพันธ์กับมัน แต่เป็นเอกลักษณ์ที่แยกส่วนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ปะติดปะต่อกัน ไม่ใช่การสั่งสมและซึมลึกจนมีเอกลักษณ์ที่มั่นคง ชัดเจน และเป็นของจริง

2552-07-23

แนะวิธีปฏิบัติ 5 ขั้นตอนเพื่อป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดสายพันธ์ใหม้ 2009

แนะวิธีปฏิบัติ 5 ขั้นตอน
เพื่อป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดสายพันธ์ใหม่ 2009
ที่ต้องช่วยกันปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

1. สกัดเชื้อไม่ให้เข้าในอาคารสถานที่ที่เป็นชุมชนตั้งแต่ทางเข้า ให้มีการล้างมือก่อนเข้าในอาคาร โดยการตั้งแอลกอฮอล์เจลที่ประตูก่อนเข้าทุกช่องทางของอาคาร เช่น office โรงพยาบาล โรงหนัง ห้าง โรงเรียน ฯลฯ และให้มีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำให้ทุกคน เน้นว่าต้องทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่หรือผู้มาติดต่อต้องล้างมือก่อนเข้าในอาคาร ทั้งตอนเช้าเวลาเข้างาน และหลังกลับจากออกไปทานอาหารกลางวัน หรือเมื่อมีกิจธุระอื่นๆ ที่ต้องออกจากอาคารเมื่อกลับเข้ามาต้องล้างมือใหม่ทุกครั้ง
2. ผู้ที่รู้ตัวว่ามีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว หรือมีไข้ ไอ จาม ให้หยุดดูอาการตัวเองอยู่กับบ้านอย่าไปในที่ชุมชน หรือถ้าจำเป็นต้องไปในที่ชุมชนต้องสวมหน้าการอนามัยทุกครั้ง ผู้ป่วยต้องทำตัวเป็นฮีโร่รับผิดชอบต่อผู้อื่น ต่อสังคม ดูวิธีการใส่หน้ากากอนามัยที่ถูกต้องได้จาก clip Video โครงการ “ฮีโร่พันธ์ใหม่ใส่ใจสวมหน้ากากอนามัย” ได้ที่ www.doctor.or.th
3. ผู้ป่วยและผู้ที่ต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ต้องใส่หน้ากากอนามัย แต่ระวังต้องพยายามอย่าอยู่ใกล้ตัวผู้ป่วยเวลาที่เขาไอ จาม เพราะจากข้อมูลล่าสุด หน้ากากอนามัยที่มีอยู่ตามท้องตลาดทั้งแบบกระดาษใช้แล้วทิ้ง หรือชนิดผ้าลายสวยๆ ป้องกันเชื้อไวรัสไม่ได้ ป้องกันได้เพียงแบคทีเรียเท่านั้น ดังนั้นควรถอยห่างออกมาซักพัก เพื่อให้ระอองเชื้อโรคที่หลุดออกมาหล่นไปที่พื้นให้หมดเสียก่อน และให้ระมัดระวังทำตามข้อ 5 อย่างเคร่งครัด
4. หากพบญาติหรือผู้ป่วยที่มีไข้ ไอ จาม ให้อยู่ห่างจากผู้ป่วยไม่น้อยกว่า 3 เมตร หรือไม่คลุกคลีเลยจนกว่าจะแน่ใจว่าเขาหายแล้ว ให้ทำความเข้าใจกันทุกฝ่ายว่า ไม่ใช่เป็นการรังเกียจ แต่เป็นความร่วมมือช่วยกันป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค
5. ห้ามใช้มือขยี้ตา แคะขี้ตา แคะจมูก หรือหยิบอาหารเข้าปากด้วยมือเปล่า อย่างเด็ดขาด ข้อย้ำ อย่างเด็ดขาด ต้องล้างมือก่อน เพราะช่องทางที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายเราได้คือ ทางตา จมูก และทางปาก เวลาจะกินอาหารให้ใช้ช้อนหรือซ่อมจิ้มเท่านั้นห้ามใช้มือเปล่าโดยที่ยังไม่ได้ล้าง
สำหรับผู้ที่มีรถส่วนตัว ต้องมีแอลกอฮอล์เจลติดไว้ในรถเสมอ ทุกครั้งที่ขึ้นรถต้องรีบให้สมาชิกทุกคนล้างมือก่อนสัมผัสอุปกรณ์ภายในรถ เพราะไม่ทราบว่าแต่ละคนไปสัมผัสอะไรมาบ้าง
สำหรับข้อ 5 นี้สำคัญที่สุด ต่อให้ท่านไปสัมผัสเชื้อมาแล้ว แต่ถ้าท่านไม่เอามือไปขยี้ตา แคะจมูก หรือหยิบอาหารเข้าปากด้วยมือเปล่า เชื้อนั้นก็จะไม่สามารถเข้าสู่ร่างกายท่านได้ แต่ท่านต้องไม่เผลอ ระวังตลอดเวลา ต้องมีสติมากๆ ทางที่ดีเวลาออกไปข้างนอกกลับมาก็ล้างมือซะจะดีกว่า

ถ้าหากเราร่วมมือช่วยกันปฏิบัติให้ได้ตามขั้นตอนนี้ทั้งหมด ก็มั่นใจได้เลยว่า เราสามารถสกัดการแพร่เชื้อโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 หรือ เชื้อทางเดินหายใจที่จะกลายพันธ์ได้แน่นอน และไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัยกันทุกคนทั้งประเทศให้สิ้นเปลือง
จะทำให้เกิดปัญหาหน้ากากอนามัยราคาแพง และขาดตลาดได้

ด้วยความปรารถนาดีต่อทุกคนในสังคม และขอให้เราร่วมมือร่วมใจกัน เพื่อสังคมที่น่าอยู่ของเราทุกๆ คน

2552-07-22

10 นิสัยที่ทำให้คู่รักระอา

คนเราตอนรักกันใหม่ๆ อะไรๆ ก็ดีไปเสียหมด อย่างคำที่ว่า ยามรัก น้ำต้มผักก็ว่าหวาน แต่เมื่ออยู่กันไปนานๆ ความเป็นตัวของตัวเอง กับความเคยชิน ก็เลยทำอะไรบางอย่าง ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งอาจจะรับไม่ได้ จนถึงขั้นต้องบอกเลิกรากันไป ดังนั้น วันนี้ จะขอบอกเล่าเก้าสิบ เกี่ยวกับสาเหตุที่ทำให้คนรัก ต้องเลิกรามากที่สุด เพราะนิสัยเหล่านี้ ไม่ข้อใดก็ข้อหนึ่ง
1. เอาแต่ใจตัวเองเป็นเรื่องธรรมดามาก ที่ทุกคนต้องเอาแต่ใจตัวเองกันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าใครจะเอาใจตัวเองมาก หรือน้อยเท่านั้นเอง บางคนคิดว่าเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองน้อย แต่ความจริงแล้วมาก ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เลย
2. ทำตัวเป็นเจ้าของมากเกินไป การที่คุณแสดงตัวให้ใครต่อใครได้รู้ว่าคุณกับเขาเป็นแฟนกัน ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่บางครั้งคุณอาจแสดงความเป็นเจ้าของเขาในลักษณะที่เป็นเงาตามตัวกันเลย เช่น ไปไหนไปด้วย ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ โดยไม่ให้เขามีเวลาส่วนตัวแม้แต่นิดเดียว ก็อาจเป็นปัญหาได้เหมือนกัน
3. หึงแบบไร้ขีดจำกัดคงจะห้ามกันได้ยาก เรื่องความหึง แต่ต้องมีลิมิตกันบ้าง ไม่ใช่ว่าเพื่อนคุยด้วยก็ยังหน้ามืดตามัว หึงขนาดนั้น คงจะไม่ไหว บางคนเข้าขั้นโทรเช็คตลอดเวลา อันนี้น่าเป็นห่วงมาก
4. บอกเลิกทุกครั้งที่ทะเลาะ ส่วนใหญ่จะเกิดจากฝ่ายหญิงซะมากกว่า จริงๆ แล้วก็พูดแค่อยากให้เขามาง้อเท่านั้น ซึ่งวิธีนี้จะใช้ได้ผลในช่วงแรกเท่านั้น แต่หลังๆ ละก็ เอ้า.. อยากเลิกดีนัก เลิกเลยดีกว่า น้ำตาเช็ดหัวเข่า
5. ไปเจ๊าะแจ๊ะกับคนอื่นถือ ได้ว่าคุณไม่ได้ให้เกียรติคนที่คุณรักเลย ซึ่งทุกคนก็ย่อมหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเอง บางครั้งอาจทำ เพื่อให้อีกฝ่ายหึงเล่นๆ เป็นการคอนเฟิร์มว่าคุณเองก็มีค่าสำหรับพวกเขา แต่ต้องระวังนะ เพราะมองอีกมุม คือคุณไม่แคร์ความรู้สึกของเขาเลย และถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่รู้จะอยู่ด้วยกันไปทำไม
6. เชื่อเพื่อนมากเกินไป บางครั้งเพื่อนก็ไม่อยากให้คุณมีแฟน ซึ่งก็โทษไม่ได้อีกนั่นแหล่ะค่ะ เพราะจากที่เคยเจอกัน ทานข้าวด้วยกันทุกวัน ก็กลับกลายเป็นว่าคุณไปตัวติดกับแฟนแทน หรืออาจจะด้วยความหวังดีมากเกินไป ก็เลยคิดแทนคุณไปหมด ว่าแฟนคุณดีพอสำหรับคุณหรือเปล่า
7. โกรธแล้วไม่พูดด้วย เป็นสาเหตุที่ทำให้คู่รักเลิกรากันมากที่สุดเลยก็ว่าได้ อาการแบบนี้จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า หรือบางทีเรื่องที่โกรธอาจมาจากความเข้าใจผิด แล้วไม่พูดกัน ก็ไม่สามารถปรับความเข้าใจกันได้
8. นัดแล้วไม่เป็นนัดการเลื่อนนัด ประเภท เลื่อนแล้วเลื่อนอีก หรือว่ามาสายแบบ นัดเช้ามาบ่าย นัดบ่ายมาเย็น อาการแบบนี้ บางคนเขารอบ่อยๆ รอไปรอมา เลิกรอตลอดไปเลยก็มีนะ
9. พูดจาข่มกันต่อหน้าคนอื่น อาจจะเพียงแค่อำกันเล่น แต่บางคนอำกันแรงเกินไป อาจจะเกิดการทะเลาะกันได้ ซึ่งเป็นสาเหตุเล็กๆ ที่จะนำไปสู่ความบานปลายได้
10. โกหกบางคนโกหกเป็นนิสัย ทั้งที่บางทีไม่ได้ตั้งใจ แต่ถ้าอีกฝ่ายเข้าใจก็คงไม่เป็นไร แต่ขอบอกว่าเรื่องอย่างนี้ น้อยคนนัก ถึงจะยอมเข้าใจ

2552-07-15

การป้องกันไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 20009

การป้องกันไข้หวัดใหญ่สำหรับประชาชน

รู้จักไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 ตอนแรกเรียกไข้หวัดใหญ่นี้ว่า “ไข้หวัดหมู” “swine flu” เนื่องจากผลการตรวจในห้องทดลองพบว่า ไวรัสนี้มีสารพันธุกรรม (genes) คล้ายกับไวรัสหวัดใหญ่ในหมูที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ แต่เมื่อค้นคว้าต่อมา พบว่าไวรัสนี้แตกต่างจากไวรัสในหมู แต่มีพันธุกรรม(genes) สองตัวคล้ายในหมูและสองตัวคล้ายไวรัสนกและไวรัสในคนการระบาดของไวรัส ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009
เริ่มจากเม็กซิโกในเดือนเมษายน 2552 แล้วระบาดไปทั่วโลก (เนื่องจากคนเดินทางมาก) ในเดือนมิถุนายน 2552 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ไขหวัดใหญ่ฯ 2009 เป็นการระบาดทั่วโลก (pandemic) เนื่องจากพบว่ามีผู้ป่วยที่ตรวจยืนยันว่าพบเชื้อแล้ว 60.000 คน จาก100 ประเทศ มีผู้เสียชีวิต 263 คน มีจากทวีปอเมริกาเหนือ ออสเตรเลีย อังกฤษ อาร์เจนตินา ชิลี เสปน และญี่ปุ่นวันที่ 14 กรกฎาคม มีผุ้ป่วย ใน 136 ประเทศ 94,512 คน เสียชีวิต 429 คน อัตราตาย 0.45 เปอร์เซ็นต์
ในประเทศไทยพบว่ามีผู้ป่วยหลายพันรายที่ตรวจยืนยันการพบเชื้อใน 72 จังหวัดทั่วประเทศ อัตราการติดเชื้ออาจจะมากกว่านี้ เนื่องจากไม่ได้ตรวจเชื้อทุกคน มีผู้เสียชีวิต24 คน อัตราตายประมาณ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ประชาชนจะช่วยป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างไร
ก. ต้องรู้ว่าไข้หวัดใหญ่ระบาดได้อย่างไร จะได้ป้องกันได้
1.จากการหายใจเอาละอองน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย เชื้อไวรัสนี้จะแพร่กระจายจากผู้ป่วย โดยออกมากับน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ จากการไอ จาม พูด .หัวเราะ แล้วเราหายใจเอาละอองน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ จากผู้ป่วย เข้าไป หรือ ละอองของสิ่งเหล่านี้ แห้ง กลายเป็นละอองเล็กๆ ปนกับฝุ่นอยู่ในอากาศ แล้วเราหายใจเข้าไป
2. เวลาผู้ป่วยไอ จาม อาจมีละอองเหล่านี้ลอยไปติดโต๊ะ เก้าอี้ หรือผู้ป่วยเอามือเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย ไปจับสิ่งของ แล้วเรา เอามือไปจับสิ่งต่างๆ ที่ปนเปื้อนน้ำมูก น้ำลาย เสมหะที่มีเชื้อโรค แล้วเอามือไปล้วงแคะจมูก เอาเข้าปาก หรือขยี้ตา เราก็จะติดเชื้อได้ เชื้อโรคจะอยู่ในอากาศ หรือพื้นผิวของสิ่งต่างๆได้นานประมาณ 2-8 ชั่วโมง

ข.การป้องกันไม่ให้ป่วย
1.อย่าเข้าใกล้ผู้ป่วย หรือเข้าไปยังที่ๆมีผู้คนหนาแน่น โดยไม่จำเป็น
2. ใช้กระดาษทิชชุปิดปากปิดจมูกเวลาไอหรือจาม และทิ้งกระดาษในถังขยะที่ปิดมิดชิด
3. ดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล อย่าแคะจมูก ขยี้ตา หรือ อมมือ(เด็ก) และ ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่
4. เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง กินอาการครบ
5. หมู่วิตามินเอ และซี ในผักและผลไม้ จะช่วยป้องกันและต่อสู้เชื้อไวรัสออกกำลังกายสม่ำเสมออยู่ในที่อากาศบริสุทธิ์ ถ่ายเทดี แสงแดดส่องถึงนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

ค.ผู้ป่วยจะแพร่เชื้อได้นานเท่าไร
ระยะเวลาที่ได้รับเชื้อโรคแล้วจะเป็นไข้หวัดใหญ่มีระยะเวลา ประมาณ 1-3 วัน จึงจะเริ่มมีอาการป่วย ผู้ป่วยจะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ตั้งแต่ 1 วันก่อนมีอาการป่วย ไปจนถึง 7 วันหลังจากเริ่มมีอาการ โดยเด็กเล็กๆอาจแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้นานกว่านั้น ฉะนั้นถ้าจะปิดโรงเรียนเพื่อจะหยุดการระบาด ต้องปิดโรงเรียนอย่างน้อย 2 สัปดาห์เด็กเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ เพราะเด็กชอบเล่นใกล้ชิดกัน และไม่สามารถระมัดระวังสุขอนามัยส่วนตัวได้ดีบุคลากรทางการแพทย์ มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้มาก เพราะต้องอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยมาก และตรากตรำทำงานมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะนี้

ง. อาการป่วย ผู้ได้รับเชื้อจะมีไข้สูง (อาจมีหนาวสั่น)ไอ เจ็บคอ ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดศีรษะ บางคนอาจมีอาการท้องเสีย อาเจียน ผู้ป่วยกลุ่มเสียงที่มีอาการเสี่ยงที่อาการป่วยหนักได้แก่ กลุ่มเด็กและเยาวชน คนอ้วน ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ร่างกายอ่อนแอ

จ. การปฏิบัติตนหลังจากการป่วย
1.หยุดไปทำงาน หยุดไปโรงเรียน พร้อมแจ้งที่ทำงานและโรงเรียนให้ทราบ เพื่อคนอื่นๆจะได้เฝ้าสังเกตอาการว่าจะป่วยหรือไม่
2. ถ้าอาการมาก เช่นไข้สูง เจ็บคอ ไอ ปวดกล้ามเนื้อ ฯลฯ ควรรีบไปพบแพทย์เพราะถ้าจะให้กินยาฆ่าเชื้อไวรัส จะได้ผลในการักษาดีมาก ถ้าได้รับยาภายใน 48 ชั่วโมงหลังการป่วย
3. กินยาลดไข้เฉพาะยา พาราเซตตามอลเท่านั้น ยาลดไข้สูงอย่างอื่นอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้
4.ดื่มน้ำและอาหารเหลวมากๆ( แทนการกินอาหารอื่นไม่ลง) เช่น น้ำส้มคั้น นม น้ำเกลือแร่ น้ำข้าวต้มใส่เกลือ โจ๊ก
5. ถ้ามีอาการเหมือนไข้หวัดใหญ่ครบ หรืออาการมากกว่า 3 อย่างดังกล่าวจึงควรไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อช่วยลดภาระโรงพยาบาล และจะได้ไม่เสี่ยงไปรับเชื้อไข้หวัดใหญ่จากผู้ป่วยอื่นๆถ้าอาการไม่ครบ ก็แสดงว่าอาจจะเป็นไข้หวัดธรรมดาๆ

โดย พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา

2552-07-04

คำถามท้ายบทที่ 5

เราสามารถนำแนวคิดเรื่อง Mass society, Consumerism society, และ Network society มาใช้เป็นกรอบในการวิเคราะห์ข่าวสาร บทความ หรือการวิพากษ์วิจารณ์ ด้านการเมือง สุขภาพ อุตสาหกรรมบันเทิง หรือธุรกิจการตลาดได้หรือไม่ ? อย่างไร? ยกกรณีตัวอย่างประกอบพอสังเขปในแต่ละแนวคิด...(ไม่ต้องเลือกทั้งด้านการเมือง สุขภาพ บันเทิง การตลาด เลือกแค่ประเด็นหรือกรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องกับ major เพื่อทำให้เห็นภาพการนำแนวคิดด้านสังคม ในแต่ละแบบไปใช้วิเคราะห์สังคมเป็น เช่น mass society ใช้เรื่องการปลดคนงานในอุตสาหกรรมต่างๆ consumerism ใช้เรื่องแฟนชั่น และการสร้างอัตลักษณ์ของเด็กวัยรุ่นผ่านบุหรี่ network society ใช้เรื่องการนำเสนอข่าวเรืองใดเรื่องหนึ่ง ที่สื่อได้มาจากกระดานข่าวในเน็ต hi5หรือ blog เป็นต้น)

ห้ามเขียนเกิน 5 หน้าเน้ออออออ ขี้คร้านอ่านหลายๆ

2552-07-03

เราเรียนอะไรกันบ้างในวิชา...การสื่อสารเพื่อสังคม...

หัวข้อการเรียนการสอน???
1. รู้ทันสื่อมวลชน: ภาษาพูด ภาษาเขียน ภาษาภาพ และการสร้างความเป็นจริง
2. ทฤษฎีสื่อสารมวลชนและการนำไปประยุกต์ใช้ และการสร้างความเป็นจริง โดยอธิบายผ่านทฤษฎี
3. สังคมมวลชน
4. สังคมบริโภคนิยม
5. สังคมเครือข่าย
6. การรู้เท่าทันสื่อ 1: อุตสาหกรรมข่าว โฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) การเรียกร้องผ่านสื่อ (Media advocacy) และนักข่าวพลเมือง (Civic journalism)
7. การรู้เท่าทันสื่อ 2: อุตสาหกรรมโฆษณา การให้สปอนเซอร์ (Sponsorship) การตลาดเชิงสังคม (Social marketing)
8. การรู้เท่าทันสื่อ 3: อุตสาหกรรมบันเทิง เอดูเทนเมนต์ (Entertainment education) Pop culture และ Creative economy
9. การเปลี่ยนแปลงทางสังคม 1: การแพร่กระจายนวัตกรรมและมีม
10. การเปลี่ยนแปลงทางสังคม 2: วิเคราะห์และออกแบบเนื้อสารด้วยทฤษฎี Symbolic convergence theory
11. การเปลี่ยนแปลงทางสังคม 3: ทฤษฎีไร้ระเบียบ และทฤษฎีซับซ้อน
12. ประเด็นวิกฤตทางสังคม 1: สุขภาพ (โรคติดต่อ โรคไม่ติดต่อ การสร้างเสริมสุขภาพ)
13. ประเด็นวิกฤตทางสังคม 2: สิ่งแวดล้อม (ความขัดแย้งระหว่างการใช้ทรัพยากรกับความเป็นอยู่ของมนุษย์)
14. ประเด็นวิกฤตทางสังคม 3: อาชญากรรม เด็ก สตรี คนชรา เพศที่สาม (การกระจายรายได้ที่ไม่เท่าเทียมกันนำไปสู่ความยากจน ซึ่งอาจทำให้เด็ก สตรี คนชรา เพศที่สามตกที่นั่งลำบาก)